ผีตาโขนประเพณีไทย จังหวัดเลย
ประวัติความเป็นมาของผีตาโขน
ประเพณีผีตาโขน เป็นประเพณีที่จัดขึ้นในอำเภอด่านซ้าย ของจังหวัดเลย ซึ่งมีพื้นที่อยู่ทางภาคอีสานของไทย ไม่มีข้อมูลชัดแจ้งว่ามีมาตั้งแต่เมื่อใด แต่มีข้อสันนิษฐว่าน่าจะมีตั้งแต่มี บุญหลวง คือบุญพระเวชสันดรและบุญบั้งไฟรวมกัน ซึ่งเป็นเวลานาน หลายร้อยปีมาแล้ว
เดิมผีตาโขน มีชื่อเรียกว่า ผีตามคน เป็นเทศกาลที่ได้รับอิทธิพลมาจาก มหาเวชสันดร ชาดกในทางพระพุทธศาสนา ที่กล่าวถึง พระเวชสันดร และ พระนางมัทรี จะออกเดินทางจากป่าสู่เมืองหลวง เหล่าบรรดาสัตว์นานาชนิดป่ารวมไปถึงภูตผีปิศาจหลายตนที่อาศัยอยู่ในป่าแห่งนั้น จึงได้ออกมาส่งเสด็จโดยแห่แหนแฝงตัวตน มากับชาวบ้าน ด้วยความอาลัยรัก
การละเล่นผีตาโขน
ผีตาโขน จัดได้ว่าเป็นการละเล่นชนิดหนึ่ง โดยที่ผู้เล่นจะทำรูปหน้ากาก ที่มีลักษณะหน้าเกลียดน่ากลัว มาสวมใส่ปกปิดใบหน้า รวมไปถึงเครื่องแต่งกายที่ต้องปกปิดมิดชิดเช่นกัน แล้วเข้าขบวนแห่แสดงท่าทางต่างๆ ในงานบุญตามประเพณีประจำปีของท้องถิ่นพื้นบ้าน การละเล่นผีตาโขนจะมีในเดือนแปดข้างขึ้น และนิยมทำ 3 วัน คือ
วันแรก เป็นวันที่ชาวบ้านจะร่วมกันสร้างหออุปคุตและทำกระทงเล็กไปวางตามิศต่างๆจำนวนสี่ทิศด้วยกัน บนหอหลวงจะมีร่มขนาดใหญ่กางกั้นไว้ ถือเป็นวันแรกของการทำพิธี
วันที่สอง เป็นวันทำพิธีอัญเชิญพระอุปคุต โดยจะมีประชาชนจากตำบลหมูบ้านต่างๆ มาร่วมงานส่วนมากจะนำบั้งไฟมาด้วยสำหรับการละเล่นต่างๆ ในวันนี้จะมีขบวนแห่ผีตาโขนและมีการบรรเลงเครื่องดนตรีพื้นเมืองอย่างครื้นเครงตลอดเส้นทาง ซึ่งจะทำพิธีแห่ไปยังวัดเพื่อทำพิธีบายศรีสู่ขวัญ ระหว่างขบวนแห่ก็จะมีบรรดาผีตาโขนทั้งหลายออกมาร่ายรำ ทำท่าทางต่างๆ อย่างสนุกสนาน
วันที่สาม จะเป็นวันที่ชาวบ้านไปทำบุญตักบาตรที่วัด ร่วมกันฟังเทศน์มหาชาติ พระเวสสันดรชาดก และในวันนี้จะไม่มีการละเล่นผีตาโขน แต่จะมีพิธีกรรมทางศาสนา อุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้แก่บรรพบุรุษผู้ล่วงลับไปแล้ว รวมไปถึงสักการะสิ่งศักสิทธิ์ในวัดหรือในพระธาตุ
ประเภทผีตาโขน
ผีตาโขนจะมีอยู่ด้วยกัน 2 ประเภท คือ
ผีตาโขนใหญ่ จะมีลักษณะเป็นหุ่นที่จำลองขึ้นมาจากโครงไม้ไผ่สาน ห่อคลุมด้วยผ้าหรือกระดาษ ซึ่งมีขนาดใหญ่โตกว่าคนธรรมดาประมาณสองเท่า ผีตาโขนใหญ่จะถูกตกแต่งไปด้วยวัสดุที่หาได้จากท้องถิ่นที่แสดงถึงรูปร่างเพศชายและหญิง มีการประดับอวัยวะเพศที่บ่งบอกถึงความเป็นชายและหญิงอย่างชัดเจน ซึ่งเป็นความเชื่อที่มีมาตั้งแต่สมัยโบราณว่าอวัยวะเพศของมนุษย์จะแสดงถึงความอุดมสมสมบูรณ์ ไม่ใช่ความพิเรนหรือทะลึ่งของผู้ที่มาร่วมเล่นแต่อย่างใด และประเพณีผีตาโขนในแต่ละปีจะมีการจัดทำผีตาโขนใหญ่เพื่อร่ามขบวนเพียง 1 คู่เท่านั้น ผู้มีหน้าที่เป็นผีตาโขนใหญ่จะต้องได้รับการอนุญาติจากผีหรือเจ้าก่อนและจะต้องทำทุกปีหรือทำติดต่อกันอย่างน้อย 3 ปี
ผีตาโขนเล็ก คือการละเล่นของชาวบ้านไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ ชายหรือหญิง ก็มีสิทธิ์เข้าร่วมสนุกสนานได้ การแต่งกายก็แต่งเช่นเดียวกับผีตาโขนใหญ่แต่โดยมากจะมีผู้ชาย ไม่ค่อยมีผู้หญิงเข้าร่วมเพราะเป็นละเล่นที่ผาดโผนและซุกซน
ประเพณีผีตาโขน เป็นประเพณีที่มีมาตั้งแต่โบราณ จะมีมาตั้งแต่เมื่อใดไม่ปรากฏ สันนิษฐานว่ามีมาตั้งแต่มี “บุญหลวง” เป็นบุญพระเวสสันดรและบุญบั้งไฟรวมกันนับเป็น
เวลานานหลายร้อยปี หรืออาจจะมีตั้งแต่เมื่อครั้งพระพุทธศาสนาเข้ามาเผยแพร่ในประเทศไทย
ประเพณีผีตาโขนมีลักษณะที่ใกล้เคียงกับการบูชาบรรพบุรุษของอาณาจักรล้านช้าง หลวงพระบาง ซึ่งมีอาณาเขตติดกับอำเภอ ด่านซ้าย เชียงคาน และหล่มเก่า ในปัจจุบัน
นอกจากนั้นยังมีการกล่าวกันว่า ผีตาโขนเกิดขึ้นเมื่อครั้งที่พระเวสสันดรและพระนางมัทรี จะเดินทางออกจากป่า กลับสู่เมืองบรรดาผีป่าหลายตนและสัตว์นานาชนิดอาลัยรักจึงพา
แห่แหนแฝงตัวแฝงตน มากับชาวบ้านเพื่อมาส่งทั้งสองพระองค์กลับเมือง เรียกกันว่า “ผีตามคน” หรือ “ผีตาขน” จนกลายมาเป็น “ผีตาโขน” อย่างในปัจจุบัน
เวลานานหลายร้อยปี หรืออาจจะมีตั้งแต่เมื่อครั้งพระพุทธศาสนาเข้ามาเผยแพร่ในประเทศไทย
ประเพณีผีตาโขนมีลักษณะที่ใกล้เคียงกับการบูชาบรรพบุรุษของอาณาจักรล้านช้าง หลวงพระบาง ซึ่งมีอาณาเขตติดกับอำเภอ ด่านซ้าย เชียงคาน และหล่มเก่า ในปัจจุบัน
นอกจากนั้นยังมีการกล่าวกันว่า ผีตาโขนเกิดขึ้นเมื่อครั้งที่พระเวสสันดรและพระนางมัทรี จะเดินทางออกจากป่า กลับสู่เมืองบรรดาผีป่าหลายตนและสัตว์นานาชนิดอาลัยรักจึงพา
แห่แหนแฝงตัวแฝงตน มากับชาวบ้านเพื่อมาส่งทั้งสองพระองค์กลับเมือง เรียกกันว่า “ผีตามคน” หรือ “ผีตาขน” จนกลายมาเป็น “ผีตาโขน” อย่างในปัจจุบัน
ในระหว่างมีงานบุญตามประเพณีประจำปีของท้องถิ่นพื้นบ้าน การเล่นผีตาโขนนั้นจะมีเฉพาะงานบุญประเพณีที่ภาษาพื้นบ้านอเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย ซึ่งเรียกว่า "บุญหลวง"
ที่วัดโพนชัย อำเภอด่านซ้าย ในเดือนแปดข้างขึ้น นิยมทำ 3 วัน ดังกล่าว คือ วันแรกเป็นวันรวม (วันโฮม) เป็นวันที่ประชาชนตามตำบลหมู่บ้านต่าง ๆ เดินทางมาร่วมงาน ซึ่งปกติ
จะนำบั้งไฟมาด้วย โดยเริ่มตั้งแต่เวลาประมาณ 04.00 น. - 05.00 น. ทำพิธีอัญเชิญพระอุปคุตเข้ามาประดิษฐานอยู่ที่วัด โดยอัญเชิญก้อนหิน จากแม่น้ำหมันใส่พาน ซึ่งสมมติว่า
เป็นพระอุปคุตนำมาประดิษฐานไว้ที่หออุปคุต ข้างศาลาโรงธรรม ที่เตรียมจัดไว้แล้ว เชื่อว่าจะสามารป้องกันเหตุเภทภัยต่าง ๆ ที่จะเกิดในงานได้ เมื่อพิธีอัญเชิญพระอุปคุตเสร็จ
เรียบร้อยแล้ว จะมีการละเล่นต่าง ๆ ทั้งกลางวันและกลางคืน เช่น เล่นเซิ้งบั้งไฟ ฟ้อนรำ การแสดงผีตาโขน การแสดงการเล่นต่าง ๆ เป็นต้น วันที่สองของงาน ตั้งแต่ตอนเช้าถึง
บ่าย จะมีการละเล่นต่าง ๆ
เชื่อถือร่วมกันว่าบรรพชน คือ ต้นตระกูลเผ่าพันธุ์ผู้ที่สร้างบ้านแปงเมือง บรรพชนเมื่อตายเป็นผี จึงเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่น่าเกรงขาม มีอำนาจที่จะดลบันดาลให้ความอุดมสมบูรณ์
หรือความหายนะแก่บ้านเมืองได้ เพื่อเป็นการแสดงความเคารพ เพื่อความอุดมสมบูรณ์พูนสุขของบ้านเมือง เมื่อถึงงานบุญประเพณีสำคัญ ๆ ตามฮีตประเพณี จึงจะต้องทำการ
ละเล่นเต้นฟ้อนผีตาโขนเพื่อเซ่นสรวงบูชาให้เป็นที่ ถูกอกถูกใจแก่ผีบรรพชน การละเล่นผีตาโขนจึงเป็นการละเล่นที่มีมาแต่โบราณ และผ่านการ สืบทอดทางพิธีกรรมเป็นสาย
ยาวจากรุ่นต่อรุ่นมาจนถึงปัจจุบัน ผีตาโขนจึงเป็นการละเล่นส่วนหนึ่งในงานบุญหลวงของอำเภอด่านซ้าย หรือเมืองด่านซ้ายในอดีต นับเป็นการละเล่นที่นำพาให้เกิดความสนุก
สนานและความบันเทิงเป็นหลัก เช่นกันกับการเล่นทอดแห ขายยา และทั่งบั้ง อันเป็นสีสันแห่งการเฉลิมฉลองในงานบุญหลวงและโดยเฉพาะในพิธีอันเชิญพระเวสสันดร และ
นางมัทรีเข้าเมือง ตามฮีตเดือนสี่ (บุญเผวส) ของชาวอีสาน ซึ่งชาวด่านซ้าย ได้รวมเอางานบุญฮีตเดือนสี่(บุญเผวส) ฮีตเดือนห้า (บุญสงกรานต์) ฮีตเดือนหก (บุญบั้งไฟ) และ
ฮีตเดือนเจ็ด (บุญซำฮะ) มาจัดขึ้นพร้อมกันในช่วงเดือนเจ็ดของทุกปี ซึ่งมักจะอยู่ระหว่างปลายเดือนมิถุนายนถึงช่วงต้นเดือนกรกฏาคม
ประเภทของผีตาโขน
1. ผีตาโขนใหญ่ จะมีลักษณะเป็นหุ่นที่ขึ้นรูปจากโครงไม้ไผ่สานที่มีขนาดใหญ่แล้วห่อคลุมด้วยผ้าหรือกระดาษมีขนาดใหญ่กว่าคนธรรมดาประมาณ ๒เท่า ประดับตกแต่ง
รูปร่างเป็นเพศชายและหญิงด้วยเศษวัสดุที่หาได้ในท้องถิ่น มีการประดับอวัยวะเพศที่แสดงออกถึงความเป็นชายและหญิงอย่างชัดเจน ซึ่งเป็นตามความเชื่อในสมัยโบราณที่สื่อว่า
อวัยวะเพศของมนุษย์จะแสดงถึงความอุดมสมบูรณ์ ไม่ใช่ความคิดพิเรนหรือทะลึ่งของผู้ที่เข้ามาร่วมเล่นแต่อย่างใด การจัดงานแต่ละปีจะมีการทำผีตาโขนใหญ่เพื่อร่วมขบวนแห่
เพียง ๑ คู่ เท่านั้น คนเล่นจะต้องเข้าไปอยู่ข้างในตัวหุ่น ผู้มีหน้าที่ทำผีตาโขนใหญ่จะมีเฉพาะกลุ่มเท่านั้น เพราะคนอื่นไม่มีสิทธิ์ทำ การทำก็ต้องได้รับอนุญาตจากผีหรือเจ้าก่อน
ถ้าได้รับอนุญาตแล้วต้องทำทุกปีหรือทำติดต่อกันอย่างน้อย 3 ปี
2. ผีตาโขนเล็ก ผีตาโขนเล็กเป็นการละเล่นของเด็ก ไม่ว่าเด็กเล็ก เด็กวัยรุ่นหรือผู้ใหญ่ ทั้งผู้หญิงชาย มีสิทธิ์ทำและเข้าร่วมสนุกได้ทุกคน แต่ผู้หญิงไม่ค่อยเข้าร่วมเพราะ
เป็นการเล่นค่อนข้างผาดโผนและซุกซนผู้เข้าร่วมในพิธีนี้จะแต่งกายคล้ายผีและปีศาจใส่หน้ากากขนาดใหญ่ เครื่องแต่งกายของผีตาโขน ส่วนใหญ่มักประกอบด้วย
ส่วนประกอบของหัว หรือที่เรียกว่าหน้ากากนั้น ทำด้วย "หวด" หรือภาชนะที่ใช้นึ่งข้าวเหนียวซึ่งเป็นส่วนด้านบนดูคล้ายหมวก ส่วนหน้านั้นทำจากโคนก้านมะพร้าว นำมา
|
ส่วนเขานั้นทำจากปลีมะพร้าวแห้ง โดยนำส่วนประกอบต่าง ๆ มาเย็บติดเข้าไว้ด้วยกัน และทาสีสันวาดลวดลายไปบนด้านหน้าของหน้ากากนั้น ๆ หลังจากนั้นจะเย็บเศษผ้าติดไว้
บริเวณด้านบน(หลัง) เพื่อให้คลุมส่วนคอของผู้ใส่ไปจนถึงไหล่
ส่วนประกอบของเครื่องแต่งกาย จะเป็นชุดที่ทำจากเศษผ้า ซึ่งนำมาเย็บติดกัน และมี "หมากกะแหล่ง"หรือกระดิ่ง (คล้ายกับที่แขวนคอโค, กระบือ) แขวนผูกไว้บริเวณเอว
เพื่อให้เกิดเสียงดังเป็นจังหวะเวลาเดิน และส่ายสะโพก
ส่วนประกอบสุดท้าย คือ ดาบหรือง้าว ที่จะทำจากไม้เนื้ออ่อน ในขบวนแห่จะประกอบไปด้วยการร้องรำทำเพลงอย่างสนุกสนาน
การละเล่นผีตาโขน
การละเล่นผีตาโขน จะใช้เวลาในการประกอบพิธีกรรม สามวันด้วยกัน ซึ่งจะมีขบวนแห่ผีตาโขนในวันที่สอง ส่วนวันแรกกับวันที่สามจะเป็นการประกอบพิธีกรรมทางศาสนา
วันแรก จะเป็นวันที่ ชาวบ้านจะช่วยกันสร้างหออุปคุตและทำกระทงเล็ก เพื่อนำไปวางตามทิศต่างๆจำนวนสี่ทิศด้วยกัน บนหอหลวงจะมีร่มขนาดใหญ่กางกั้นไว้ ถือเป็นวัน
แรกของการทำพิธีในการเอาฤกษ์
วันที่สอง จะเป็นวันที่ทำพิธีอันเชิญพระอุปคุต ในวันนี้จะมีขบวนแห่ผีตาโขนและมีการบรรเลงเครื่องดนตรีพื้นเมืองอย่างครึ้นเครงตลอดเส้นทางการแห่ขบวน ซึ่งจะทำพิธี
แห่ไปยังวัด เพื่อทำพิธีบายศรีสู่ขวัญ ในขนวนแห่บรรดาผีตาโขนทั้งหลายก็จะออกมาร่ายรำกันอย่างสนุกสนาน
วันที่สาม ในวันนี้ชาวบ้านจะไปทำบุญตักบาตรที่วัด เลี้ยงอาหารเช้าและเพลแก่พระสงฆ์ ร่มกันฟังเทศน์มหาชาติ พระเวสสันดรชาดก ซึ่งในวันนี้จะไม่มีการละเล่นผีตาโขน
จะประกอบพิธีกรรมทางศาสนาและอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้กับบรรพบุรุษผู้ล่วงลับและสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในวัดหรือในพระธาตุ
ประเพณีผีตาโขนเป็นประเพณีที่ปฏิบัติกันมานานจนกลายเป็นเอกลักษณ์ประจำจังหวัดเลย ที่รวมอยู่ในงานบุญหลวงที่มีงานบุญผะเหวดและบุญบั้งไฟและถือเป็นการบูชา
อารักษ์หลักเมือง และบวงสรวงดวงวิญญาณอันศักดิ์สิทธิ์ในอดีต ในปัจจุบัน ประเพณีผีตาโขนกลายเป็น ประเพณีที่สามารถสร้างรายได้ในการท่องเที่ยวให้กับจังหวัดเลย และถือ
เป็นประเพณีที่สืบทอดกันมาของชาวบ้าน ที่ยังคงอนุรักษ์ไว้ให้เยาวชนรุ่นหลังได้ชมและเรียนรู้วัฒนธรรม
ประเพณีที่มาช้านาน
stou.ac.th
ประเพณีแห่ผีตาโขนจัดเป็นส่วนหนึ่งในงานบุญประเพณีใหญ่หรือที่เรียกว่า "งานบุญหลวง" หรือ "บุญผะเหวด" ซึ่งตรงกับเดือน 7 มีขึ้นที่อำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย และจัดเป็นการละเล่นที่ถือเป็นประเพณีทุกปี เกี่ยวโยงกับ งานบุญพระเวสหรือเทศน์ มหาชาติ ประจำปีกับพระธาตุศรีสองรัก ปูชนียสถานสำคัญของชาวด่านซ้าย สำหรับในปีนี้ ประเพณีบุญหลวงและการละเล่นผีตาโขน ประจำปี 2555 ขึ้นใน วันที่ 22-24 มิ.ย.2555 โดยขบวนแห่ผีตาโขน จะจัดขึ้นใน วันที่ 23 มิถุนายน 2555 บริเวณวัดโพนชัยและหน้าที่ ว่าการอำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลยงานบุญหลวง ประเพณผีตาโขนของอำเภอด่านซ้ายจังหวัดเลย เป็นประเพณีสำคัญ เพราะอยู่ใน สิบสองเดือนสี่งานบุญผะเหวด (พระเวส)แหผีตาโขนแม้จะมีเล่นในอีสานถิ่นอื่นบ้าง แต่ที่วัดโพนชัย อำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย เป็นที่รู้จักและ จะยังคงอยู่คู่กับ "พระธาตุศรีสองรัก" ตลอดไป
ประเพณีแห่ผีตาโขนจัดเป็นส่วนหนึ่งในงานบุญประเพณีใหญ่หรือที่เรียกว่า "งานบุญหลวง" หรือ "บุญผะเหวด" ซึ่งตรงกับเดือน 7 มีขึ้นที่อำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย และจัดเป็นการละเล่นที่ถือเป็นประเพณีทุกปี เกี่ยวโยงกับ งานบุญพระเวสหรือเทศน์ มหาชาติ ประจำปีกับพระธาตุศรีสองรัก ปูชนียสถานสำคัญของชาวด่านซ้าย สำหรับในปีนี้ ประเพณีบุญหลวงและการละเล่นผีตาโขน ประจำปี 2558 โดยขบวนแห่ผีตาโขนจะจัดขึ้นใน วันที่ 27 มิถุนายน 2558 บริเวณวัดโพนชัยและหน้าที่ ว่าการอำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลยงานบุญหลวง ประเพณผีตาโขนของอำเภอด่านซ้ายจังหวัดเลย เป็นประเพณีสำคัญ เพราะอยู่ใน สิบสองเดือนสี่งานบุญผะเหวด (พระเวส)แหผีตาโขนแม้จะ มีเล่นในอีสานถิ่นอื่นบ้าง แต่ที่วัดโพนชัย อำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย เป็นที่รู้จักและ จะยังคงอยู่คู่กับ "พระธาตุศรีสองรัก" ตลอดไป
กล่าวกันว่า การแห่ผีตาโขนเกิดขึ้นเมื่อครั้งที่พระเวสสันดรและนางมัทรีจะเดินทางออกจากป่ากลับสู่เมือง บรรดา ผีป่าหลายตนและสัตว์นานา ชนิด อาลัยรักจึงพาแห่แหนแฝงตัวแฝงตน มากับชาวบ้านเพื่อมาส่งทั้งสอง พระองค์ กลับ เมือง "ผีตามคน" หรือ "ผีตาขน" จนกลายมาเป็น "ผีตาโขน" อย่างในปัจจุบัน